009 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖
ดินน้ำลมไฟ

โลกก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สรรพสัตว์ หรือ สิ่งที่เกิดอยู่ในโลก ก็เป็นไป ตั้งแต่รวมตัวเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม จนกระทั่งเย็น มีน้ำ จนกระทั่งเกิดชีวะ จนกระทั่ง มีสัตว์ชั้นต่ำ จนสัตว์ชั้นสูง สะสมด้วย องค์ประกอบ อย่างนั้น เป็นเรื่องของ ธาตุดิน ธาตุโลก ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม วิญญาณก็อาศัย สภาพต่างๆ พวกนี้สังเคราะห์ แล้วก็อาศัยพวกนี้ ใช้ไปตามจริง มีระดับพลังงาน มีระดับ จนกระทั่ง ถึงตัวที่เรียกว่า ตัวรู้ และ ร่างกายเป็นสัตว์ จนกระทั่ง กลายเป็น สัตว์ประเสริฐ มันก็หมุนเวียน อยู่อย่างนี้ นานับกัปกัลป์ แล้วๆเล่าๆ หาที่เกิด หาที่ตั้งต้นไม่ได้ และเราก็หา ที่จบไม่ได้

ผู้ที่ตรัสรู้ยิ่งกว่าเรา สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ก็หาที่เกิด หาที่ตั้งต้นของโลก และ สรรพสิ่งไม่ได้ และก็หา ที่จบไม่ได้ และรู้จริงอยู่ว่า ทุกอย่าง มันก็จะหมุนเวียนไป อย่างนี้ เป็นสังสารวัฏ

เพราะฉะนั้น เรื่องที่จะหาที่ต้น และที่เกิด เราจึงไม่ต้องหา แต่เรามาหา ต้นตอ แห่งความทุกข์ หาเหตุเกิด แห่งความทุกข์ หาสิ่งที่มัน ยังทำให้เรา ไม่เจริญ ไม่เป็นมนุษย์ สมมนุษย์ ไม่เป็นผู้ประเสริฐ สมประเสริฐ เรามาหา ต้นตอเหล่านี้ ที่มันทำให้เรา เกิดมา เป็นมนุษย์แล้ว ทำไมเรา ประเสริฐไม่ได้ ทำไม เราเป็นคนที่ ไม่ต้องทุกข์ร้อน แล้วสร้างสรร เสียสละ เป็นตัวงาน เป็นสิ่งวิเศษ ของโลก เท่าที่เรา จะสามารถ เกิดมาเป็นบุญ เป็นประโยชน์ เป็นคุณเป็นค่า ให้แก่มนุษยโลก เป็นสัตวโลก ที่มีคุณ มีค่าที่สุด เท่าที่เรา จะทำได้ แล้วเรา ก็ไม่ได้อยู่ อย่างทุกข์ร้อน ไม่ต้องน้อยใจ ไม่ต้องเป็นปมด้อย เราอยู่ เราก็มีความภาคภูมิ ของเราเอง เราอยู่วัน อยู่คืน แต่ละวัน แต่ละคืน เราก็มี ความภาคภูมิ ในกรรมกิริยา ของเรา ในสิ่งที่ สร้างสรรที่จริง ในสิ่งที่ได้ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล ที่เป็นคุณ เป็นค่า เป็นคุณประโยชน์แก่โลก เราเอง เราก็ไม่ได้ ทุกข์ร้อนอะไร แม้จะทำงานหนัก จะมีอุปสรรค จะมีผู้ต่อต้าน ตอบโต้ เราก็ไม่ได้ทุกข์ร้อน เราก็ไม่ได้ไปทำ ให้เขาร้ายอะไร เรารู้ว่า เราเอง แม้จะทำให้เขา ไม่พอใจนัก ก็ไม่ได้หมายความว่า เรามุ่งร้ายแก่เขา แต่เขาไม่รู้ ไม่รู้ที่เขามี ความอวิชชา เขามีความหลง เข้าใจสิ่งผิด เป็นถูก เขาเข้าใจ เหตุแห่งทุกข์ เป็นความหลงว่าสุข แล้วเขาก็ เหน็ดเหนื่อย หนักหนา เขาไปแสวงหา เขาไปมีพฤติกรรม เขาก็ไปเป็น สิ่งที่ยืนยัน ยืนหยัด อยู่ในโลก เป็นตัวอย่าง ให้แก่โลก ที่ไม่ดีไม่งาม

เพราะฉะนั้น เราจะต้านเขา เราจะแก้ไขเขา ดึงเขากลับมา สู่ทิศทางที่ดี ด้วยความบริสุทธิ์ใจ มันไม่ใช่ความผิด แน่นอนล่ะ เมื่อเขาหลง ในสิ่งที่ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ หรือว่าเป็นตัวที่ ไม่ใช่สุขแท้ ไม่ใช่เรื่องดี เขาไปหลงว่า มันเป็นสิ่งที่ น่ายึด น่าถือ เราไปแย่งเขามา เขาหวง เขาแหม! เขาก็ย่อม จะไม่พอใจ

เพราะฉะนั้น คำว่าไม่พอใจ ไม่ได้หมายความว่า เป็นความเลว ทีเดียว เขาไม่พอใจ เพราะเขา ไม่สมใจ ที่เขายึด

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราเอง เราได้ช่วยเขา อย่างจริงใจ ด้วยความบริสุทธิ์แท้ และเราก็ พยายามช่วย เท่าที่ได้ ถ้าเผื่อว่า ไปช่วยเขามาก ไปดึงสิ่งที่เขาชอบ ออกจากเขา โดยที่เขา ก็โกรธก็เคือง เกิดการรุนแรง โหดร้าย และ เขาก็มา ทำร้ายเรา ซึ่งเป็นบาป เราก็อย่า ให้ถึงอย่างนั้น พยายามรักษาท่าที พยายามรักษา เหตุการณ์ รักษาทุกอย่าง ให้มันพอเหมาะ พอดี ให้พอเป็นไป ที่ขัดเกลาเขาได้ และเขาก็ไม่ได้ทำร้าย ทำเลว แรงขึ้นไปกว่านั้น นี่เป็นการประมาณ เป็นการรู้ ที่จะต้องรู้ ให้ดี ให้จริง ให้ลึกซึ้ง เราจึงจะสามารถ ที่จะรักษา สถานภาพ อันนี้ได้ ว่าเราก็ไม่ได้ให้เขา ทำบาปเพิ่ม และเขาก็ได้ ขัดเกลา สิ่งที่เป็นบาป ในตัวเขาได้ อย่างแท้จริง ต้องเป็นผู้รู้ รู้เท่าทันโลก รู้องค์ประกอบของโลก รู้จักสภาวะ ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ตั้งแต่ วัตถุรูป มหาภูตรูป ไปถึงอุปาทายรูป จนกระทั่ง ถึงอรูป นามธรรม เราก็จะต้องรู้ อย่างแท้จริง และ เราก็จะช่วยกันได้

เรามาศึกษากันอยู่ ทุกวันนี้ ก็เพื่อที่จะมา ทำตนเอง ให้เป็นผู้ที่ ไม่มีทุกข์ นอกจาก ไม่มีทุกข์แล้ว ก็เป็นคน ที่มีคุณค่า เป็นคนประเสริฐ เป็นคนที่อยู่ ในโลกนี้ไป มันจะอยู่ กี่เวลา กี่ปีก็ตาม เราก็ไม่ได้เป็นคน ที่สร้าง สิ่งที่เลวทราม ให้แก่โลก แต่เราเป็น คนที่สร้าง สิ่งที่ดีงาม ให้แก่โลก สภาพเหล่านี้ มีจริงเป็นจริง ไม่ใช่ว่า มีแต่ปรัชญา มีแต่ภาษา มีแต่การเล่าเล่น ที่จริง มันเป็นของจริง มีความจริง ที่เราสามารถ พิสูจน์ได้

เพราะฉะนั้น พวกเราก็ค่อยๆศึกษาไป ค่อยๆ เห็นชัดเจนไป ผู้ใดแน่ใจ มั่นใจแล้ว มันก็ไม่แปรปรวน ไม่วนเวียนน่ะ ไม่เหลาะแหละ ทุกอย่างเป็นไป อย่างแท้จริง มีอาจารย์ หรือ มีศาสดา มากคน ที่ได้พยายาม หาหนทาง เพื่อที่จะหลุดพ้น หรือ เพื่อที่จะเป็น คนประเสริฐ เป็นคนดี แต่แท้สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้ดีอะไร เป็นแต่เพียง หนีโลก เป็นแต่เพียงที่ ไม่ไป แย่งชิงกับโลก แต่เขาก็ไม่ได้สร้าง คุณความดีอะไร ไว้ให้กับโลก อยู่ไปอย่างนั้นเอง สงบแบบที่ ไม่สร้าง ไม่สรร ไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์น่ะ ประดุจดั่ง ก้อนหิน ก้อนดิน ตอไม้ แต่ว่าตอไม้ มันก็ยัง ไม่กินอะไรมาก แต่คน มันยังกิน มันกินด้วย แล้วมันก็ยัง พยายาม ที่จะยังชีวิต อยู่ไปด้วย มันจึงต้องอาศัย สิ่งที่สังเคราะห์ ชีวิตร่างกาย ยังเปลืองอยู่ เพราะฉะนั้น เมื่อเราเปลือง แม้แต่อะไรก็ตาม เราก็ควร จะมีประโยชน์ ให้คุ้มค่าแก่โลก คุ้มค่าเฉยๆ มันก็ยังไม่ใช่ ความประเสริฐ มันก็ไม่ใช่คุณค่า หรือ ไม่ใช่ประโยชน์ อะไรนัก มันก็แค่อย่างดี ก็คุ้มกัน หรือว่า ได้มากกว่า หน่อยหนึ่ง ให้แก่โลกนิดๆ หน่อยๆ มันก็เท่านั้น เพราะฉะนั้น ไหนๆเราเอง เราจะพยายาม เกิดมา พยายามที่จะอยู่ เราก็สบาย แล้วเราก็มี คุณค่าเสีย มันก็ไม่น่า ไปรังเกียจ รังงอนอะไรน่ะ

เพราะฉะนั้น ในมุมเหลี่ยมของ ศาสนาพุทธ จึงมองเห็น ความลึกซึ้ง ซับซ้อนอันนี้ ออกไปอีก จึงพยายาม ให้คน มีคุณค่า มีประโยชน์ พร้อมกันนั้น ก็มีความวางปล่อย ไม่ติดไม่ยึด ในโลกได้จริงๆ และ ยิ่งละเอียด ลึกซึ้ง ซับซ้อนไป เพราะว่า ถูกโลก กระแทกกระทั้นเอา จิตนี่มัน ไม่ได้หมก ไม่ได้ฝัง ไม่ได้กลบเกลื่อน ให้กระแทกขึ้นมา ให้รู้เลยว่า มีจิตอะไรเหลือ ในก้นบึ้งของจิต จึงจะรู้ถ้วนทั่ว ถ้วนรอบ จึงจะสะอาด สะอ้านได้ จิตนี้ไม่กระเทือน จิตนี้ แม้จะกระเทือน ก็หมดเกลี้ยง ไม่มีเศษเหลือ ไม่มีอะไร ที่ตกตะกอน นอนหลง อยู่ในก้นบึ้ง ของจิต เพราะว่า สะอาดบริสุทธิ์ อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น โลกจะกระแทก อย่างไรๆ กิเลสนั้น ก็ไม่มี มันก็ไม่มีอะไรออกมา ไม่มีอะไร ออกมานั่นแหละ เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า เราเป็นผู้ที่ หมดแล้ว ซึ่งกิเลส

ศาสนาพุทธ จึงสามารถท้าทาย หรือเรียกได้ อย่างเต็มที่ว่า ระบบหรือทฤษฎี ของศาสนาพุทธ เป็นลัทธิ หรือ เป็นทฤษฎี ที่ทำให้รู้ทั่วถึง ทำให้หมด สะอาด ได้อย่างชัดแจ้ง อยู่เหนือโลก พิสูจน์เลยว่า โลกนี้ จะทำให้เรา เป็นทาส หรือ ตกต่ำไม่ได้ มันจะมีลีลา อย่างไร ก็รู้เท่าทัน มันจะแรง อย่างไร เราก็สามารถ อยู่เหนือมันได้ มันไม่มา ไม่มีฤทธิ์มีแรง ที่จะมาครอบงำเรา อย่างเด็ดขาด

นี่ก็แนะนำไว้เสมอ สำหรับพวกเรา ให้พิสูจน์เสมอ เราก็จะเข้าใจ เพิ่มขึ้น ก็พิสูจน์ของจริง จะมาเชื่อ ที่อาตมากล่าว นั้นไม่ได้น่ะ เป็นแต่เพียงฟัง ฟังแล้ว ก็รู้ด้วยเหตุผล เสร็จแล้ว คุณก็เอาไป พิสูจน์เอาเอง คุณจะรู้จริง เป็นปัจจัตตัง ของตนๆ แล้วเราก็จะได้ เป็นคนประเสริฐ ตามทฤษฎี ตามรูปรอย หรือว่า ตามความมุ่งหมาย ประเสริฐ อย่างนี้ของพุทธ เอาอย่างนี้ เป็นประเสริฐ ถ้าของเขาอื่น เขาก็จะเรียกว่า ประเสริฐ โดยไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยวกับโลกเลย อยู่เฉยๆ ว่างๆ สงบๆ ของเขาอย่างนั้น เขาจะถือว่า อย่างนั้น ประเสริฐ ก็เป็นความหมายของเขา คุณก็มีสิทธิเลือก คุณจะเอาความประเสริฐ อย่างอยู่เฉยๆ ว่างๆ สงบอยู่ ตามป่าเขา ลำเนาไพร ลอยตัวไป เดินทางไปสู่ หลุมฝังศพ เปล่าๆ ดายๆ อย่างนั้น หรือจะเอา ที่สงบด้วย สร้างคุณค่าด้วย คำว่า สงบ คำนี้คือ เราไม่ก่อเรื่องร้าย เราไม่ได้ทำเลว เราไม่ได้ โลภโมโทสัน อะไรมาเสพย์ มาให้ถูกคุณว่า เราไม่ได้ไป ทะเลาะเบาะแว้ง

การเป็นอยู่ในศาสนา ที่เราทำอยู่ ในทุกๆวันนี้ ยังมีคน เข้าใจผิดว่า เราทะเลาะเบาะแว้ง ทำความแตกร้าว อันนี้ก็ศึกษาไป เพราะอาตมา ยืนยันว่า อาตมาไม่ได้เกิดเป็นคน ทะเลาะ เบาะแว้ง และเป็นคน ทำความแตกร้าว แต่ความเห็น ที่ไม่ตรงกันนั้น มีแน่ ตราบที่ ความชั่ว กับความดี มันไม่ตรงกัน ความชั่วคือชั่ว ความดีคือความดี ซึ่งมันค้านแย้งกัน มันก็จะต้อง ขัดกัน เป็นธรรมดา แต่ในการขัดกันนั้น เราสามารถ ที่จะอยู่ได้ โดยที่เราไม่ให้ แตกร้าว ไม่ให้ทะเลาะ เบาะแว้งน่ะ แต่ว่า มันจะต้องแยก แน่นอน มันจะต้องแบ่งพวก แน่นอน มันจะต้อง ขจัดกัน แน่นอน ห้ามไม่ได้น่ะ สิ่งดี สิ่งถูก สิ่งผิด คนละเรื่อง คนละอย่าง ดำกับขาว คนละมุม คนละเหลี่ยม จะให้มันไม่ขบ จะให้มันไม่ค้าน จะให้มัน ไม่เปรียบเทียบกัน และ มันก็ไม่สามารถ จะกลืนกันไม่ได้ เราต้อง ให้ดีกลืนชั่ว เราต้องให้ดีนั้น พัฒนาตัว ให้ชั่วนั้น เสื่อมลง ให้ชั่วนั้น ดับลงไป ตายลงไปให้มาก

นี่เป็นการพัฒนาสังคม ช่วยสังคม ถ้าเราดูดาย ไม่เอา หูไปนา เอาตาไปไร่นี่น่ะ ไม่เอาใจใส่ หลบลี้เลี่ยง แต่คนคนเดียว ทำอย่างเดียวๆนั้น ลัทธิอย่างนี้ มีมาก่อน พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว ท่านเห็นว่า แบบนี้ คนเกิดมา โมหะ ไม่ได้คุณค่าอะไร สูญเปล่า

เพราะฉะนั้น เราไม่ทำ เราไม่เอาลัทธินั้น ใครจะเลือก ก็เลือก โดยสิทธิของ แต่ละบุคคล มีอิสรเสรีภาพ จะเลือกเอา อย่างใดๆ เพราะฉะนั้น ถ้าใครเลือกเอา อย่างนี้แล้ว ก็ต้องดำเนิน ตามทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า เพื่อที่จะเป็นไป ตามนี้ และมี คุณค่าในโลก อย่างนี้ และเราก็ได้พัก ได้ผ่อน หรือได้สบาย ได้เย็นใจ จงพิสูจน์ ความเย็นใจ ในชนิดแบบ มรรคองค์ ๘ หรือ ทฤษฎีใหญ่ ของพระพุทธเจ้า ที่ท่านมี ทั้งการคิด การพูด การทำการงาน มีอาชีพ มีความพยายาม สร้างสรรไป ซึ่งจะเป็น ตัวอย่าง สืบต่อแห่ง มนุษยชาติ ในโลกน่ะ ถ้าเผื่อว่า อย่างที่มันเฉยๆ มันก็เป็นตัวอย่าง เหมือนกัน แต่ตัวอย่าง ที่ไม่มีคุณค่า ดังกล่าวแล้ว ด้วยเหตุผล ก็รู้ๆ อยู่น่ะ

ทุกคนก็เลือกเอา พิจารณาเอาน่ะ แล้วก็พยายาม พิสูจน์ความจริงนี้ไป หมู่กลุ่มของเรา ได้พยายาม กระทำงาน และได้พยายามฝึกหัด อบรมกันมา ได้ขนาดนี้ ก็เชื่อว่า ไม่ยากแก่การเรียนรู้ ที่เราจะมาพิสูจน์ ก็ขอให้ทุกคน พิสูจน์ตัวเองด้วย พิสูจน์อื่นด้วย แม้แต่อาตมาเอง ก็จงพิสูจน์ว่า อาตมานี่ จริงหรือเปล่า อาตมา มีความสามารถ หรือมีแนวทาง มีทั้งมรรคแนวทาง มีทั้งผล ที่ได้ทำน่ะ มีประโยชน์ มีผล ที่ได้ให้เรามา ยืนยันพิสูจน์ ตั้งแต่ย่อย ในธรรม ตั้งส่วนน้อย จนกระทั่ง ใหญ่ขึ้น โตขึ้นไป จนส่วนใหญ่ ส่วนเต็ม ส่วนสมบูรณ์น่ะ ก็ลึกซึ้งเข้า แยบคายเข้า ศึกษาเข้า ให้มีปัญญา ชาญฉลาดรู้ แล้วเราจะได้รู้ ความจริงว่า อาตมานี่ จริงหรือเปล่า พวกเรานี่ จริงหรือเปล่า

ถ้าผู้ที่แน่นอนมั่นคง ตรงกันแล้ว ก็อยู่สร้างสรร อันนี้ไป แม้อาตมาจะตาย ทุกคนที่ได้รู้ ความจริง ยืนหยัดอยู่ ก็จะนำพา ความจริงสิ่งนี้ สืบทอดไป อีกนาน เท่านานน่ะ สำหรับผู้ที่ไม่จริง ก็แน่นอนละ หรือผู้ที่ไม่มีปัญญา ก็แน่นอนละ ก็จะต้อง แยกสึกออกไป

ผู้ที่จริง ผู้ที่เห็นถึงกัน จึงอยู่รวมกัน ผู้ที่เห็น ไม่ถึงกัน ก็ไปแยก ไปอยู่สังคมอื่น หมู่อื่น กลุ่มอื่น ความเห็นอื่น ที่จะเป็นไป นี่เป็นสัจจะ

เราไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียดกัน ใครจะแยกก็แยก ใครจะอยู่ก็อยู่ เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีศีลอย่างนี้ จงมาเถิด ถ้าผู้ที่มีศีล อย่างอื่น ก็จะไปอยู่กับ อย่างอื่น ส่วนผู้ที่ มีศีลอย่างนี้ ยังไม่ได้มา จงมา ผู้ที่มีศีล อย่างนี้แล้ว ก็จงอยู่เป็นสุข โดยมีศีลนั้น เป็นปรกติ สามัญ หมดสงสัย หมดคลางแคลง และสุดท้าย ก็เป็นศีลอัน อเสขะ นั้นได้จริงๆ ขอให้ทุกคน ได้พิสูจน์ถึง ขั้นอเสขะ แม้แต่ศีล แม้แต่จิต แม้แต่ปัญญา แม้แต่วิมุติ แม้แต่ วิมุติญาณทัสสนะ ก็ล้วน แล้วแต่เป็น อเสขะ ได้จริงๆ

ขอให้ทุกคน ได้พบประสบ อเสขะ นี้ถ้วนทั่ว ทุกคนเทอญ

สาธุ.